SEO คืออะไร เทคนิค SEO และ SEO Tools

SEO คืออะไร คำถามยอดฮิตของคนที่กำลังทำการตลาดออนไลน์ ว่ามันคืออะไรกันแน่? ในบทความนี้มีคำตอบครับ โดยเราจะพูดถึงทั้งในส่วนของความหมายของ SEO ความสัมพันธ์ระหว่าง SEO กับ Google การทำ SEO คืออะไรทำอย่างไร ทั้งทางเทคนิค กลยุทธ์ เครื่องมือ SEO ขั้นเทพ และ Certification

SEO คืออะไร

SEO คือ การเพิ่มประสิทธิภาพกลไกค้นหา ย่อมาจากคำว่า Search engine optimization ซึ่งในที่นี้คำว่าระบบการค้นหา (Search Engine) นั้นหมายถึง ระบบการค้นหาของ Google, Yahoo, Bing หรือ Baidu และการเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหาก็คือ การที่ทำให้เว็บไซต์ของเรานั้นอยู่ในลำดับแรกๆ ของการค้นหา ให้มีจำนวนคนที่เข้ามาชมเว็บไซต์ของเราเป็นจำนวนมาก เพื่อหวังผลในเชิงธุรกิจ ซึ่งหมายถึง เมื่อมีผู้ชมเข้ามาชมเว็บไซต์ของเรามากแล้ว ก็จะทำให้เราสามารถขายสินค้าได้มากขึ้น ยอดขายก็จะมากขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน

SEO กับ Google

Google เป็นหนึ่งใน Search Engine ที่ใหญ่ระดับโลกอันดับแรกๆ ที่มีคนใช้ในการค้นหา โดยมีสัดส่วนสูงถึง 70% ของ Market Share สำหรับการค้นหาผ่านระบบคอมพิวเตอร์ และสูงถึง 85% สำหรับการค้นหาผ่านมือถือ ในขณะที่ลำดับที่ 2 และ 3 ได้แก่ Baidu และ Bing ตามลำดับ (จากเอกสาร Worldwide market share of search engines ของเว็บ netmarketshare.com) สำหรับในประเทศไทยจะนิยมใช้การค้นหาของ Google โดยสูงถึง 99% เลยทีเดียว ส่วนอันดับถัดมาได้แก่ Yahoo และ Bing ตามลำดับ

จากเหตุผลข้างต้น นักพัฒนาเว็บไซต์ต่างๆ ในประเทศไทย จึงให้ความสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพกลไกค้นหา (SEO) โดยมุ่งเน้นไปที่ระบบการค้นหาของ Google เป็นหลัก มากกว่าระบบการค้นหาประเภทอื่น ซึ่ง Google นั้นก็ได้สร้างระบบ Algorithm ในการจัดการกับลำดับในการค้นหาในลักษณะของการให้คะแนนคุณภาพและประสิทธิภาพของเว็บไซต์เพื่อทำการกรองให้เว็บเหล่านั้นอยู่ในลำดับที่ดีและมีคุณภาพเพื่อตอบสนองความพึงพอใจของผู้ค้นหาด้วยเช่นกัน

การทำ SEO คืออะไร

การทำ SEO คือ การทำให้เว็บไซต์ของเราให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพตรงกับความต้องการของระบบการค้นหา (Search Engine) เพื่อให้ลำดับในการค้นหาอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุด เช่น อันดับ 1 ในคีย์เวิร์ด การทำ SEO ในระบบการค้นหาของ Google เป็นต้น

Ranking
Ranking

เทคนิค SEO

เทคนิค SEO คือ
เทคนิค SEO คือ

เทคนิค SEO คือ เทคนิคการสร้างสภาพแวดล้อมของเว็บไซต์ให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพ โดยพัฒนาปัจจัยหลักๆ ของ  Google ที่น่าจะให้ความสำคัญ ซึ่งสามารถจำแนกแยกเป็น 8 ปัจจัยดังต่อไปนี้

  • คีย์เวิร์ด (Keyword) เป็นปัจจัยแรกที่ทางผู้พัฒนาเว็บไซต์จะต้องคำนึงถึง โดยในเว็บไซต์ของเรานั้นจะต้องมีบทความ เนื้อหา หรือคีย์เวิร์ด ที่ทำการเขียนครอบคลุมและสามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่า เว็บไซต์ของเรานั้นเป็นเว็บไซต์เกี่ยวกับอะไร เพื่อให้เข้าใจตรงกันกับ Google และสามารถที่จะทำให้มีการจัดกลุ่มของเนื้อหาไปอยู่ในตำแหน่งหรือคำค้นหาที่ต้องการได้ การระบุคีย์เวิร์ดนั้นจำเป็นที่จะต้องทำการใส่ไว้ในจุดต่างๆ ของเนื้อหา ได้แก่ ในส่วนของหัวข้อเรื่อง บทคัดย่อ คำบรรยายเรื่อง กระจายในเนื้อหาโดยไม่ให้น้อยไปจนขาดน้ำหนักของบทความนั้น หรือมากไปจนเหมือนกับการสแปมคีย์เวิร์ดในเนื้อหา
  • เนื้อหา (Content) เป็นปัจจัยสำคัญอีกตัวหนึ่ง โดยเนื้อหาที่เราจะเขียนในบทความหรือในหน้าเว็บไซต์ของเรานั้นจะต้องเขียนแสดงให้ผู้อ่านเห็นถึงความเชี่ยวชาญ ความสามารถในธุรกิจหรือกิจกรรมที่เราต้องการนำเสนอ มีความยาว 1000 คำขึ้นไป มีลำดับการเรียงเนื้อหาที่ถูกต้องตามหลัก เช่น มีการเกริ่นนำ วัตถุประสงค์ เนื้อหา และบทส่งท้ายเป็นต้น
  • ความเร็ว Speed เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ต้องคำนึงถึง เนื่องจาก Google ได้พูดไว้ในปี 2017 ว่า Speed จะเป็นหนึ่งในปัจจัยในการคำนวนตำแหน่งใน Google สาเหตุที่ Google อ้างถึงเนื่องจากว่า ผู้อ่านจะให้ความสำคัญกับการเปิดเนื้อหาเว็บไซต์ที่มีความเร็วมากกว่า หากเนื้อหาที่กำลังจะเปิดไม่สามารถแสดงผลได้ภายใน 3 วินาที อาจจะทำให้ผู้อ่านทำการปิดในส่วนของเว็บไซต์ของเราไป และทำให้เว็บไซต์ของเราไม่ถูกเข้ามาอ่านอีกเลยก็ได้ การเพิ่มความเร็วเว็บไซต์นั้น อาจจะต้องดูในเรื่องของรูป ขนาดของรูป (Image Size) การบีบอัด (Compression) ระบบแคช (Cache) และการจัดการสคริปต์ (Scripts) และสไตล์ (Styles) ต่างๆ อ่านต่อบทความเกี่ยวกับวิธีการ เพิ่มความเร็ว WordPress
  • รองรับมือถือ (Responsive) ปัจจัยตัวที่สามที่เราจะพูดถึง คือ การรองรับการทำงานของมือถือ แท็บเล็ต ของเว็บไซต์ เหตุผลที่ปัจจัยนี้เกี่ยวกับ SEO เนื่องจากว่า ปัจจุบันการค้นหาเว็บไซต์ผ่านมือถือเติบโตขึ้นมากกว่าการค้นหาผ่านคอมพิวเตอร์และจะมากขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต Google จึงให้ความสำคัญสำหรับเว็บที่ทำการพัฒนาเว็บไซต์แบบ Responsive สำหรับมือถือมากขึ้น ซึ่งเว็บไซต์ที่จะรองรับมือถือแบบ Responsive ได้นั้นจะต้องทำการเขียนตั้งแต่โครงสร้างหรือเลย์เอาท์ของเว็บ และจะต้องศึกษาในเรื่องของระบบกริด (Grid System) ด้วย อ่านต่อบทความเกี่ยวกับการทำเว็บให้รองรับมือถือ
  • ความปลอดภัย (Security) Google เริ่มให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่มีความปลอดภัยสูงตั้งแต่ปี 2014 โดยเฉพาะในส่วนของ HTTPS หรือการใช้งานในส่วนของ SSL Certificates เพราะการใช้งานดังกล่าวจะเป็นการป้องกันการเข้าโจมตี (Hack) ในรูปแบบ Man in the middle attack ได้ ซึ่งราคาของการใช้งานในส่วนของ HTTPS มีหลายระดับตั้งแต่ฟรีจนถึงแพงมาก วิธีการที่ง่ายที่สุดที่จะให้เว็บเรามีในส่วนของ HTTPS คือ ให้ทำการสอบถามทางโฮสติ้งที่เราเช่าอยู่ให้เขาดำเนินการติดตั้งให้ครับ
  • รูป (Image) เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ Google ให้ความสำคัญ เพียงแต่ว่าการปรับปรุงในส่วนของรูปนั้นนอกจากจะช่วยในเรื่องของการค้นหาทั่วไปแล้ว ยังช่วยในเรื่องของการค้นหาแบบรูปภาพ (Image Search) อีกด้วย และถึงแม้ระบบของ Google จะมีความฉลาดสามารถที่จะแบ่งแยกรูปภาพตามหมวดหมู่ได้แล้วก็ตาม ในการทำ SEO นั้นเราก็จำเป็นที่จะต้องช่วยให้รูปภาพของเราเป็นที่รู้จักกับ Google ด้วย โดยการระบุในส่วนของ ALT Text ของรูปนั้นๆ อีกข้อหนึ่งที่สำคัญก็คือ ขนาดของรูปที่จะต้องเหมาะเจาะพอดีกับพื้นที่ที่เราจะใส่รูป รวมถึงการใช้นามสกุลรูปที่ทันสมัยมากขึ้น เช่น นามสกุลที่ชื่อ .webp ก็จะช่วยให้ตำแหน่งใน Google ของเราดีขึ้นด้วย
  • ลิงก์ภายในและภายนอก (Internal and External Link) เป็นปัจจัยตัวที่ 6 ที่สำคัญ เนื่องจาก Google นั้นใช้บอท (Bots) ในการเข้ามาเก็บข้อมูลเนื้อหาเว็บไซต์ผ่านทางลิงก์ต่างๆ โดยเก็บข้อมูลในลักษณะของใยแมงมุม ดังนั้นบทความใดที่มีลิงก์ทั้งภายในและภายนอกที่ถูกต้องจากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ ก็จะดันให้เว็บของเราอยู่ในตำแหน่งที่ดีเช่นเดียวกัน
  • โค้ดที่ถูกหลักการ (Best Practices Code) ข้อสุดท้ายที่น่าจะเป็นปัจจัยในการจัดลำดับหรือตำแหน่งของ Google ก็คือโค้ดของเว็บไซต์ การที่โค้ดไม่มีความยุ่งเหยิง เขียนถูกหลักการทำงาน และเรียบเรียงเนื้อหาอย่างถูกต้องจะทำให้การเก็บข้อมูลจากบอท (Bots) ทำงานได้ง่ายขึ้น

หมายเหตุ เนื่องจาก Google ไม่เปิดเผยระบบ Algorithm ที่ใช้คำนวณ ผู้พัฒนาเว็บไซต์จึงต้องทำการคาดการณ์และทดลองปัจจัยที่น่าจะส่งผลถึงลำดับหรือตำแหน่งของเว็บไซต์ด้วยตัวเอง จึงอาจจะไม่ใช่ปัจจัยที่ถูกต้อง และอาจจะเปลี่ยนแปลงไปในช่วงระยะเวลาใด เวลาหนึ่งก็ได้

กลยุทธ์ SEO

กลยุทธ์ SEO คือสิ่งที่คนส่วนใหญ่พยายามค้นหาเข้าให้ถึงในส่วนของ Google ให้มากที่สุด อย่างที่บอกไปแล้วข้างต้นว่า การที่ได้ตำแหน่งที่ดีย่อมหมายถึงรายได้ที่จะมากขึ้น ปัจจุบันกลยุทธ์ของ SEO แบ่งได้เป็น 2 ส่วนหลักๆ ได้แก่ SEO On Page และ SEO Off Page ซึ่งความหมายของ On Page นั้นก็คือ การทำ SEO โดยเน้นในส่วนของการเขียนบทความ การให้ความสำคัญกับเนื้อหา และในส่วนของ Off Page นั้นก็คือ การทำ SEO โดยเน้นในเรื่องของเครือข่ายลิงก์ภายนอกที่จะช่วยดันอันดับให้ดียิ่งขึ้น

กลยุทธ์ SEO ที่เหมาะสมในปัจจุบันนั้นก็คือ การทำ On Page ให้ดี เขียนบทความให้ดี แล้วจะมีคนมาแชร์ในส่วนของบทความของเรา และเราจะได้ Back Link กลับมาเอง เพราะการเน้นในส่วนของ Off Page มากเกินไป อาจทำให้ Google มองว่าเว็บไซต์ของเรามีการสแปมลิงก์และจะทำให้เว็บของเราลำดับตกลงไปได้

สอน SEO
สอน SEO

SEO Tools

การปรับปรุงเว็บไซต์หรือการทำ SEO นั้น ในบางครั้งเราจำเป็นที่จะต้องมีเครื่องมือในการช่วยตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของเราต้องทำการปรับปรุงส่วนใดบ้างเพื่อให้เราได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เครื่องมือ SEO ที่เป็นที่นิยมมีจำนวนหลายตัว ทั้งแบบฟรีและเสียเงิน ยกตัวอย่างเช่น

Google Webmasters
Google Search Console
  • Google Search Console เป็นเว็บของ Google เองที่ให้เราทำการตรวจสอบคุณภาพของเว็บไซต์ ทั้งในส่วนของคีย์เวิร์ด ลิงก์ภายใน ภายนอก โครงสร้างเว็บไซต์ การรองรับมือถือ และจะทำการแจ้งสิ่งที่เราจะต้องทำการปรับปรุงเพื่อให้เราสามารถนำไปแก้ไขได้
  • Page Speed Insights เป็นเว็บที่เอาไว้ตรวจสอบความเร็วของเว็บไซต์ โดยจะแสดงผลความเร็วทั้งในส่วนของหน้าจอคอมพิวเตอร์ (Laptop) และมือถือ (Mobile) พร้อมทั้งวิธีการแก้ไข
  • SerpMojo เอาไว้ตรวจสอบตำแหน่งของคีย์เวิร์ดบน Google สามารถติดตั้งได้ในลักษณะเป็นแอพพลิเคชั่นบนมือถือ
  • SEO Site Checker ทำหน้าที่ในการสแกนแล้วบอกคะแนนเว็บไซต์หรือ SEO Score ของเราว่าได้คะแนนเท่าไร พร้อมบอกให้สิ่งที่ต้องปรับปรุง
  • BuzzSumo ไว้ตรวจสอบบทความว่า บทความใดที่มีการค้นหาและพูดถึงมากทั้งในระบบการค้นหา (Search Engine) และโซเชียล (Social)
Buzzsumo
Buzzsumo

SEO Price

ราคาในการทำ SEO ส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับคีย์เวิร์ด (Keyword) ที่ทำการแข่งขันและตำแหน่งคีย์เวิร์ดที่ต้องการ เนื่องจากว่าคีย์เวิร์ดบางคำมีการแข่งขันกันสูง ลำดับในการทำคีย์เวิร์ดมีความยาก ราคาในการทำ SEO ก็จะสูงตามไปด้วย นอกจากนั้นแล้วบริษัท SEO หลายบริษัทจะไม่รับประกันอันดับในการทำ SEO ด้วย สาเหตุเนื่องจาก Google มีการปรับเปลี่ยนอัลกอริทึมในการค้นหาอยู่บ่อยครั้ง ทำให้อาจจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงต่อตำแหน่งของเว็บไซต์ที่เคยทำได้ ดังนั้นราคาจึงมีตั้งแต่หลักพันจนถึงหลักหมื่นต่อคีย์เวิร์ด

SEO ขั้นเทพ

การที่จะเป็น SEO ขั้นเทพหรือ SEO Specialist นั้น จำเป็นที่จะต้องรู้พื้นฐานของ SEO ทั้งหมด รวมถึงประวัติในการปรับเปลี่ยน ปรับปรุงอัลกอลิทึมต่างๆ ของ Google ตั้งแต่อดีต เช่น Panda Algorithm, Penguin Algorithm, Humming Bird Algorithm ไล่มาจนถึงปัจจุบัน จะได้เข้าใจถึงหลักแนวคิดของ Google ที่จะพัฒนาต่อไปในอนาคต รวมถึงจะต้องติดตามอัพเดทข่าวสารที่เกี่ยวกับ SEO ของ Google ให้มาก เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงในลำดับที่เว็บไซต์เคยทำได้จะสามารถทำการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้สอดคล้องและแก้ไขได้ทันท่วงที ในไทยก็มีเว็บไซต์ที่อัพเดทเกี่ยวกับ SEO อยู่สม่ำเสมอ และจัดทำเป็นคอรส์สอน SEO อีกด้วย เราสามารถไปดูคอร์สเรียนได้ที่คอร์ส SEO

นอกจากนี้แล้วคนที่ทำ SEO อย่าพยายามทำการปรับแต่ง SEO ในลักษณะของวิธีการดำมืด (Black Hat) ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อเว็บไซต์ของตนเองในอนาคตหาก Google ทำการตรวจจับได้ พยายามทำในสิ่งที่ถูกต้อง (White Hat) เพื่อให้มีการพัฒนาเว็บไซต์ของตนเองให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป ลำดับก็จะดียิ่งๆ ขึ้นไปด้วย

SEO Certification

Google ไม่มีการรับรอง Certificate ที่เกี่ยวข้องกับ SEO ดังนั้นหากใครที่ต้องการใบรับรองอย่างเป็นทางการจึงไม่สามารถที่จะทำได้ แต่จะมีบริษัทต่างชาติหลายบริษัทที่มีชื่อเสียงที่มีประสบการณ์ในการทำ SEO มาแล้ว ได้ทำการออกใบประกาศนียบัตรหรือใบรับรองนี้ ยกตัวอย่างเช่น SEMrush Academy, Udemy และ Moz Academy เป็นต้น

สอน SEO
สอน SEO

สรุป SEO

จากบทความทั้งหมด เราจะเห็นได้ว่าการทำ SEO นั้น ไม่ได้ง่ายเหมือนสมัยก่อนแล้ว เนื่องจาก Google ได้มีการพัฒนาระบบการค้นหาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการเข้าใจถึงเทคนิค กลยุทธ์ และเครื่องมือที่ใช้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องเรียนรู้ ปรับปรุง แก้ไข เปลี่ยนแปลงการทำเว็บไซต์อยู่ตลอดเวลา เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด จึงขอเป็นกำลังใจกับผู้ที่กำลังทำเว็บไซต์และทำ SEO ให้สามารถชนะคู่แข่งและอยู่ในลำดับหรือตำแหน่งที่ดีทุกคนด้วยครับ สู้ๆ